ตลาดดีดตัวขึ้นหลังล็อคดาวน์ผลักราคาน้ำมันจมดิ่ง

ตลาดหลายแห่งได้ดีดตัวสูงขึ้นจากการที่นักลงทุนเริ่มมีความหวังต่อการเลือกตั้ง


สารบัญข่าว

ตลาดหลายแห่งได้ดีดตัวสูงขึ้นจากการที่นักลงทุนเริ่มมีความหวังต่อการเลือกตั้ง

ตลาดหลายแห่งได้ดีดตัวสูงขึ้นเนื่องจากนักลงทุนกำลังมีความหวังมากขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในวันอังคาร

ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นหลักในสหรัฐฯได้แข็งขึ้นด้วยกันทั้งหมดในวันจันทร์ ย้อนศรจากการที่ตกต่ำอย่างฉับพลันในสัปดาห์ที่แล้ว

ราคาน้ำมันก็ได้สูงขึ้นเช่นกันในช่วงซื้อขายในสหรัฐฯ หลังจากที่ได้ตกไปถึงจุดต่ำสุดในรอบห้าเดือนเนื่องจากโคโรนาไวรัสก่อให้เกิดมาตรการล็อคดาวน์ครั้งใหม่

โดยการตกต่ำของเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นานาประเทศอย่าง สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และเยอรมนี ประกาศบังคับใช้ข้อบังคับด้านกิจกรรมทางสังคมที่เข้มงวดขึ้น

เมื่อข่าวนี้ได้กระจายไปถึงตลาดการเงินต่าง ๆ ความกังวลที่มาตรการล็อคดาวน์จะสร้างความเสียหายให้กับการเติบโตด้านเศรษฐกิจมากกว่าเดิม พร้อมทั้งทำให้เกิดความกดดันให้ราคาน้ำมันลดต่ำลง

ในช่วงการซื้อขายในตลาดเอเชีย ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ตกลงไปที่ 35.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้มีให้เห็นมาตั้งแต่ช่วงหลังของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

แต่ภายหลังก็ได้ฟื้นตัว โดยราคาแข็งขึ้นกว่า 3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเผยแพร่ข้อมูลการผลิตอันแข็งขัน

ราคาน้ำมันดิบฝั่งสหรัฐฯก็ได้ถูกซัดถล่มอย่างหนักเช่นกัน โดยราคาตกลงไปถึง 7% ในวันจันทร์ ที่ 33.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก่อนที่จะแข็งขึ้นเช่นเดียวกันในภายหลังกว่า 3%

แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของราคาน้ำมันในตลาด ยังคงตกลงไป 45% จากตอนที่เริ่มต้นปี

ความตกต่ำที่เกิดจากไวรัสครั้งนี้ได้กลายเป็นแรงกดดันอย่างหนักต่อนานาบริษัทผู้ผลิตพลังงาน โดย BP และ เชลล์ เป็นส่วนหนึ่งในผู้ว่าจ้างที่ประกาศปลดพนักงานออกนับหมื่นนับพันตำแหน่งในปีนี้

BP มีแผนที่จะปลดพนักงานออก 10,000 ตำแหน่งหลังจากความต้องการตกต่ำลงขณะที่ด้าน Royal Dutch Shell ได้กล่าวว่า ทางบริษัทคาดว่าจะต้องปลดพนักงาน 7,000 ถึง 9,000 ตำแหน่ง ด้าน Exxon Mobil ในสัปดาห์ที่แล้วได้กล่าวเช่นกันว่ามีแผนจะปลดพนักงาน 14,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็นราว ๆ 15% ของแรงงานทั่วโลก

ความหวาดกลัวต่อการเลือกตั้ง

การขึ้นราคาน้ำมันเป็น้พียงหนึ่งในการรวมกำลังในตลาดใหญ่ ๆ โดย Dow Jones Industrial Average ปิดตลาดด้วยราคาที่สูงขึ้น 1.6% ด้าน S&P 500 — ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักที่สุดรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมีนาคมในสัปดาห์ที่แล้ว ปรับราคาหุ้นขึ้น 1.2% ขณะที่ Nasdaq ปรับขึ้น 0.4%

หุ้นทางฝั่งยุโรปและในประเทศสหราชอาณาจักรได้ไต่ขึ้นเช่นกัน

ความวิตกกังวลเรื่องที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯอาจไม่ถูกเปิดเผยเป็น้วลานานนับสัปดาห์ได้กลายเป็นความกดดันต่อตลาด

แต่ความหวังที่ว่าสหรัฐฯจะต้องหลีกเลี่ยงผลการเลือกตั้งที่ยุ่งเหยิงและเป็นที่โต้แย้งได้ผุดขึ้นในหมู่นักลงทุน เนื่องจากโพลล์ได้ชี้ว่านาย โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งยังสามารถรักษาคะแนนนำได้เหนือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในรัฐสำคัญ ๆ ในคืนก่อนวันเลือกตั้ง

นักลงทุนยังมีมุมมองในแง่บวกว่าจุดสิ้นสุดของแคมเปญหาเสียงจะส่งคืนความสนใจไปที่การหารือนโยบายกระตุ้นฯอีกด้วย โดยในท้ายที่สุดจะเป็นการผลักดันให้ทางการวอชิงตันมุ่งดำเนินแผนการใช้จ่ายเพื่อนช่วยเหลือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯจากความฝืดเคืองที่มาจากการระบาดใหญ่

“ไม่ว่าคุณจะมองจากมุมไหน สัปดาห์ที่กำลังจะมาถึงนี้จะเป็นสัปดาห์ที่ใหญ่โตมโหฬารสำหรับตลาดในสหรัฐฯและตลาดโลก” ไซมอน บัลลาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งธนาคาร First Abu Dhabi กล่าว
“เราได้เห็นโอกาสที่จะเกิดความผันผวนขึ้นอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ โดยทั้งหมดอยู่ในบริบทของสถาณการณ์โควิด-19ที่ยังคงทรุดโทรมลงไปทั่วภูมิภาคของสหรํฐฯ, ยุโรป และที่อื่น ๆ”

ความหวังของประเทศจีน

ตลาดในจีนยังคงเป็นตลาดที่มีทีท่าดีที่สุดในเรื่องของการเติบโตด้านเศรษฐกิจในปีนี้

ทางการจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลกระบุในวันจันทร์ว่า จีนจะเพิ่มโควตาสำหรับปี 2021 ขึ้น 20% สำหรับบริษัทภาคเอกชน

แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลังจากกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรมของประเทศจีนมีการเร่งความเร็วขึ้นในระดับที่เร็วที่สุดในรอบเกือบ 10 ปีในเดือนตุลาคม เนื่องจากความต้องการในประเทศพุ่งสูงขึ้น

ข้อมูลดังกล่าวมาจาก Caixin/Markit Manufacturing Purchasing Managers’ Index (PMI) — แบบสำรวจภาคเอกชนซึ่งมุ่งเน้นเกี่ยวกับบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง

ในเดือนที่ผ่านมา ประเทศจีนได้สืบสานการฟื้นฟูประเทศจากการระบาดใหญ่ด้วยการเติบโตด้านเศรษฐกิจที่แข็งขันในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยอิงจากตัวเลขอย่างเป็นทางการของประเทศ

เศรษฐกิจจีนที่ใหญ่โตเป็นอันดับสองของโลกได้มีรายงานการเติบโตขึ้นถึง 4.9% ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมและเดือนกันยายนเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว

อ้างอิง

BBC

ความเห็นผู้ชมทั่วไป